1. เตรียมดิสก์
ใช้ดิสก์สองลูกที่มีขนาดเท่ากัน เช่น /dev/sda
และ /dev/sdb
2. เริ่มการติดตั้ง Ubuntu Server
- เลือก "Custom storage layout" เมื่อถึงขั้นตอนการจัดการดิสก์
3. สร้างพาร์ติชันบนแต่ละดิสก์
- EFI System Partition (ESP): สร้างพาร์ติชันขนาด 512MB บนทั้งสองดิสก์ และตั้งค่าเป็น FAT32 พร้อมตั้งธง
boot, esp
- พาร์ติชันสำหรับ RAID: สร้างพาร์ติชันที่เหลือบนแต่ละดิสก์เพื่อใช้สำหรับ RAID โดยไม่ต้องฟอร์แมต
4. สร้างอาร์เรย์ RAID1
- เลือก "Create software RAID (md)"
- เลือกพาร์ติชันที่สร้างไว้บนทั้งสองดิสก์เพื่อสร้างอาร์เรย์ RAID1
5. สร้างพาร์ติชันภายในอาร์เรย์ RAID
- Swap: สร้างพาร์ติชัน swap ขนาดเท่ากับหรือครึ่งหนึ่งของ RAM
- Root (
/
): สร้างพาร์ติชันสำหรับ root โดยใช้พื้นที่ที่เหลือ
6. ติดตั้งระบบ
- ดำเนินการติดตั้ง Ubuntu Server ตามขั้นตอนปกติ
7. ทำให้ทั้งสองดิสก์สามารถบูตได้
หลังการติดตั้งเสร็จสิ้น:
- ตรวจสอบว่า
/boot/efi
ถูกเมานต์จากดิสก์ใด
mount | grep /boot/efi
- คัดลอก ESP จากดิสก์ที่ใช้งานอยู่ไปยังอีกดิสก์หนึ่ง
sudo dd if=/dev/sdX1 of=/dev/sdY1
แทนที่ sdX1
และ sdY1
ด้วยพาร์ติชัน ESP ของแต่ละดิสก์
- ตรวจสอบรายการบูต
sudo efibootmgr -v
- หากไม่มีรายการบูตสำหรับดิสก์ที่สอง ให้เพิ่มด้วยคำสั่ง
sudo efibootmgr --create --disk /dev/sdY --part 1 --label "ubuntu" --loader "\EFI\ubuntu\shimx64.efi"
แทนที่ sdY
ด้วยดิสก์ที่ต้องการ
Boot บน RAID1
เท่านี้ Boot Partition ที่ติดตั้ง Ubuntu Server ก็จะอยู่บนพื้นฐานของ RAID1 เรียบร้อย
ตรวจสอบสถานะ RAID
ใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อตรวจสอบสถานะของอาร์เรย์ RAID
sudo mdadm --detail /dev/md0
สรุป
การตั้งค่า RAID1 สำหรับพาร์ติชันบูตบน Ubuntu Server ช่วยเพิ่มความทนทานของระบบและความสามารถในการบูตจากดิสก์ใดก็ได้ในกรณีที่ดิสก์หนึ่งล้มเหลว การตั้งค่านี้เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการความเสถียรและความพร้อมใช้งานสูง
ขอบคุณที่ติดตาม
แอดมิน
www.Limitrack.com